|
เรียน ท่านผู้ถือหุ้น
บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ยังคงมุ่งมั่นสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียน โดยตอบสนองความต้องการพลังงานสะอาดที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของเศรษฐกิจและความตระหนักด้านสิ่งแวดล้อม บริษัทเป็นหนึ่งในองค์กรชั้นนำที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) ในทุกมิติ โดยเชื่อมโยงกลยุทธ์ขององค์กรและกลุ่มทีพีไอโพลีนให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ผสานแนวทาง ESG (Environmental, Social, and Governance) และ BCG Economy (Bio-Circular-Green Economy) เข้ากับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ เพื่อสนับสนุนเป้าหมาย Carbon Neutrality และ Net Zero Emission ทั้งในระดับองค์กรและระดับประเทศ ควบคู่ไปกับการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) |
ผลการดำเนินงานในปี 2567
ในปี 2567 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวม 11,097 ล้านบาท โดยมีกำไรก่อนหักต้นทุนทางการเงิน ภาษีเงินได้ ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เท่ากับ 4,788 ล้านบาท และมีโดยมีอัตราส่วนภาระหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย (สุทธิ) ต่อ EBITDA เพียง 5.24 เท่า (Net IBD/EBITDA) สะท้อนกระแสเงินสดที่มีความมั่นคง
ขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าพลังงานสะอาด และใช้เทคโนโลยีลดต้นทุนการผลิต
ในปี 2567 บริษัทได้ลงทุนในโครงการต่างๆ เพื่อประหยัดต้นทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับปรุงโรงไฟฟ้าให้สามารถใช้เชื้อเพลิงขยะชุมชนแทนถ่านหินได้ทั้งหมด ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนเชื้อเพลิง เนื่องจากเชื้อเพลิงขยะชุมชนมีราคาถูกกว่าถ่านหิน โดยคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จในปี 2568 ทั้งนี้มาตรการลดต้นทุนจะปรากฏผลเต็มที่และสร้างกำไรให้บริษัทต่อไปตั้งแต่ปี 2569 นอกจากนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการพัฒนาโรงไฟฟ้าอีกหลายแห่ง ซึ่งรวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 94 เมกะวัตต์ เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ บมจ. ทีพีไอ โพลีน และโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชุม 16 เมกะวัตต์ เพื่อจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่การไฟฟ้าภูมิภาค นอกจากนี้บริษัทได้วางแผนใช้เทคโนโลยีติดตั้งระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Energy Storage System - BESS) ขนาด 20 MWh ในโครงการ Solar Farms ของบริษัท เพื่อเพิ่มความเสถียรในการจ่ายไฟและลดการสูญเสียพลังงาน รวมถึงการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรต่างๆ
โครงการดังกล่าวนอกจากจะสามารถลดต้นทุน และสร้างผลกำไรให้แก่บริษัทแล้ว ยังช่วยลดคาร์บอนในทุกมิติ โดยสามารถลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปีละ 0.92 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และมี Carbon Credit ปีละ 1.39 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ที่ยังไม่ได้มีการบันทึกทางบัญชี (Hidden Assets)
ทั้งนี้ ในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทได้รับการขึ้นทะเบียนคาร์บอนเครดิตจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) แล้วจำนวนรวม 1,559,229 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และได้รับใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC) จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย โดยได้ขึ้นทะเบียนโรงไฟฟ้าไว้กับ I-REC (The International REC Standard) จำนวน 2,504,658.94 RECs
การดำเนินการตามแนวทาง ESG และ BCG
บริษัทให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางตรงจากกิจกรรมของธุรกิจบริษัท (Scope 1) และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Scope 2) นอกจากนี้บริษัทยังตระหนักถึงความสำคัญของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ (Scope 3) ซึ่งครอบคลุมกิจกรรมที่ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมโดยตรงของบริษัท โดยได้ดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในหมู่พนักงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เช่น การสำรวจและส่งเสริมการเดินทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยสำรวจวิธีการเดินทางมาทำงานของพนักงานเพื่อประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด จัดโครงการรณรงค์การลดการใช้พลังงานในที่ทำงาน เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้แก่พนักงานในการลดการใช้พลังงานฟุ่มเฟือยและการใช้พลังงานทดแทน รวมทั้งส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) และร่วมมือกับคู่ค้าสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกิจกรรมทางธุรกิจ
นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางชีวภาพในแหล่งน้ำ ด้วยการติดตามผลด้านทรัพยากรชีวภาพทางน้ำ และดำเนินโครงการเพื่อป้องกันและลดผลกระทบต่อระบบนิเวศทางน้ำ เช่น การตรวจสอบคุณภาพน้ำ การบำบัดน้ำเสีย และการฟื้นฟูแหล่งน้ำธรรมชาติ
อันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้เป็น “A-” (Single A Minus) แนวโน้มอันดับเครดิต “ลบ”
เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 บริษัทได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้อยู่ที่ระดับ “A-” (Single A Minus) แนวโน้มอันดับเครดิต “ลบ” และอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัท (Stand-alone Credit Profile) อยู่ที่ระดับ “a” จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด (โดยอันดับเครดิตของบริษัทมีกรอบจำกัดที่ไม่เกินไปกว่าอันดับเครดิตของ บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทแม่ ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตที่ระดับ “A-/Negative”)
ในส่วนของอันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทสะท้อนถึงกระแสเงินสดที่มั่นคงจากธุรกิจผลิตไฟฟ้าของบริษัท การมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาวกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีความน่าเชื่อถือ ขณะที่แหล่งเชื้อเพลิงสำหรับผลิตไฟฟ้าก็มาจากเชื้อเพลิงขยะชุมชนและพลังงานความร้อนทิ้งจากการดำเนินงานของโรงปูนซิเมนต์ ซึ่งเชื้อเพลิงทั้งสองแหล่งมีความยั่งยื่นในด้านสิ่งแวดล้อมมากกว่า และต้นทุนก็ถูกกว่าถ่านหิน
การพัฒนาความเป็นอยู่ของชุมชน คุณภาพของสังคม และศักยภาพของพนักงาน
บริษัทมุ่งมั่นพัฒนาความเป็นอยู่ของชุมชน คุณภาพของสังคม การจ้างงานที่มีคุณค่า และศักยภาพของพนักงานในทุกมิติของการดำเนินธุรกิจ เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนและการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว สร้างสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี สร้างคุณค่าร่วมให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตลอดจนการบริโภคและการผลิตอย่างยั่งยืน และการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ทั้งนี้ บริษัทมุ่งพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของชุมชนรอบโรงงาน ผ่านการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและส่งเสริมการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน โดยมุ่งลดผลกระทบจากการดำเนินธุรกิจ ด้วยการควบคุมคุณภาพอากาศ น้ำ และเสียงรบกวนในพื้นที่รอบโรงงาน สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับชุมชน เสริมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับชุมชน ด้วยการสนับสนุนการจ้างงาน เชื่อมโยงกับธุรกิจในท้องถิ่น ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน โดยสร้างช่องทางการสื่อสารเพื่อรับฟังและตอบสนองความต้องการของชุมชน บริษัทยังได้บูรณาการการดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนเข้ากับการพัฒนาคุณภาพสังคม ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต ใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และสนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยลดของเสียและนำทรัพยากรกลับมาใช้ใหม่อย่างคุ้มค่า
บริษัทตระหนักดีว่า พนักงานเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดขององค์กร จึงได้ดำเนินการพัฒนาศักยภาพของพนักงานในทุกระดับ โดยจัดการฝึกอบรมและพัฒนาความรู้ด้านการบริหารจัดการพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ควบคู่ไปกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรอย่างยั่งยืน ส่งเสริมการริเริ่มสร้างสรรค์ และส่งเสริมการทำงานแบบมีส่วนร่วม เช่น การพัฒนาประสิทธิภาพระบบเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ ซึ่งช่วยเพิ่มทักษะการปฏิบัติงานและสร้างจิตสำนึกด้านผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ บริษัทได้เพิ่มกิจกรรมสนับสนุนให้พนักงานมีส่วนร่วม โดยจัดให้มีโครงการลดการใช้กระดาษและการนำกลับใช้อย่างคุ้มค่า โครงการรวบรวมขวดพลาสติกภายในองค์กรแทนการทิ้งลงถังขยะชุมชน เพื่อลดขั้นตอนการคัดแยกขยะและนำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของเชื้อเพลิงในโรงไฟฟ้าของบริษัท เป็นต้น
การบริหารจัดการที่ตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน
ในปี 2567 บริษัทได้จัดทำกลยุทธ์และดำเนินธุรกิจตามนโยบายด้านความยั่งยืนที่คณะกรรมการบริษัทได้อนุมัติให้นำประเด็นความยั่งยืนที่เป็นสาระสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ (Materiality) ทั้ง 3 ด้าน ซึ่งครอบคลุมด้านสิ่งแวดล้อม ด้านสังคม และด้านเศรษฐกิจ รวมถึงการกำกับดูกิจการที่ดี เป็นเครื่องมือขับเคลื่อนองค์กร ให้บรรลุเป้าหมายด้านการพัฒนาความยั่งยืน โดยได้มีการนำประเด็นที่ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัทมาจัดทำรายงานความยั่งยืนปี 2567 ตามมาตรฐานขององค์กรแห่งความริเริ่มว่าด้วยรายงานสากล (Global Reporting Initiative : GRI) ซึ่งตอบสนองต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs)
นอกจากนี้ บริษัทได้เปิดเผยข้อมูลทางการเงินเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ ตามหลักการของ TCFD (Task Force on Climate-related Finance Disclosures) ซึ่งเป็นการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินด้านการจัดการสภาพภูมิอากาศให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและนักลงทุนรับทราบถึงแนวทางการบริหารจัดการธุรกิจของบริษัท ซึ่งคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยสำคัญ โดยบริษัทใช้กลยุทธ์คาร์บอนต่ำเพื่อรับมือกับความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และความเป็นกลางทางคาร์บอน
ความสำเร็จในการดำเนินงานด้านการพัฒนาความยั่งยืน
ด้วยความมุ่งมั่นและให้ความสำคัญต่อกระบวนการทำงานเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) ส่งผลให้ในปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทได้รับรางวัลและการรับรองจากองค์กรที่เป็นที่ยอมรับ ในเรื่องการส่งเสริมการพัฒนาเพื่อความยั่งยืน รวมถึงการกำกับดูแลกิจการที่ดี ดังนี้
- ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 100 ของบริษัทจดทะเบียนที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) หรือกลุ่มหลักทรัพย์ ESG100 ประจำปี 2567 เป็นปีที่ 5 (2561, 2564, 2565 , 2566 และ2567) และเป็นบริษัทที่น่าลงทุนในหมวดกลุ่มทรัพยากร จากการประเมินของสถาบันไทยพัฒน์
- ได้รับการประเมินความยั่งยืน SET ESG Rating ประจำปี 2567 อยู่ในระดับ AAA (ระดับสูงสุด) จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สะท้อนการดำเนินธุรกิจด้าน ESG ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล เพื่อประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้เสียโดยรวมอย่างยั่งยืน
- ได้รับการประเมินการกำกับดูแลกิจการ ในโครงการสำรวจการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนไทย(Corporate Governance Report of Thai Listed Companies : CGR) ประจำปี 2567 ในระดับ 5 ดาว “ดีเลิศ” (Excellent CG Scoring) โดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (Thai Institute of Directors : IOD)
- ได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณ 1 ใน 34 โรงไฟฟ้านำร่องที่ผ่านการประเมินความยั่งยืน 5 ด้านตามเกณฑ์ดัชนีชี้วัดความยั่งยืนของโรงไฟฟ้า สำหรับประเทศไทย 42 ตัวชี้วัด ภายใต้โครงการนำร่อง โครงการพัฒนาเกณฑ์ดัชนีชี้วัด ความยั่งยืนของโรงไฟฟ้าสำหรับประเทศไทยสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่น ของบริษัท ที่มุ่งสู่การเป็นต้นแบบโรงไฟฟ้ายุคใหม่ที่คำนึงถึงการพัฒนาอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว
ในนามของคณะกรรมการของบริษัท ทีพีไอโพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ขอขอบคุณท่านผู้ถือหุ้น ท่านผู้ถือหุ้นกู้ สถาบันการเงินต่างๆ ผู้บริหาร พนักงานของบริษัท และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม ที่สนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทในปีที่ผ่านมา ความร่วมมือจากชุมชน พนักงาน นักลงทุน และพันธมิตรทางธุรกิจ เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมายความยั่งยืน โดยในอนาคต บริษัทจะยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนและนวัตกรรมด้านพลังงานสะอาด พร้อมขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น และสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งในระดับองค์กรและระดับประเทศ
ขอแสดงความนับถือ
(นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์)
ประธานกรรมการ